
ในวิชาภาษาไทย หนึ่งในหัวข้อที่สำคัญและแสดงถึงความงดงามของภาษาคือเรื่อง “ร้อยกรอง” หรือคำประพันธ์ประเภทต่างๆ ที่มีฉันทลักษณ์บังคับ ซึ่ง 4 ประเภทหลักที่นักเรียนจะได้เรียนรู้และถือเป็นมรดกทางวรรณศิลป์ของไทย ได้แก่ โคลง, ฉันท์, กาพย์, และ กลอน
หลายคนอาจสับสนว่าทั้งสี่ประเภทนี้คืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่าย จบครบในที่เดียว
ร้อยกรองไทย: ศิลปะแห่งการใช้คำ
ก่อนจะไปรู้จักทั้ง 4 ประเภท ต้องเข้าใจคำว่า “ฉันทลักษณ์” ก่อน ฉันทลักษณ์ คือ กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับในการแต่งร้อยกรองแต่ละชนิด เช่น การบังคับจำนวนคำ, การบังคับเสียงวรรณยุกต์ (เอก-โท), การบังคับเสียงหนัก-เบา (ครุ-ลหุ) และการบังคับสัมผัส (การคล้องจอง)
ซึ่ง “โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน” ก็มีข้อบังคับเหล่านี้ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1. โคลง
โคลง คืออะไร? โคลง เป็นคำประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดประเภทหนึ่งของไทย มีลักษณะเคร่งครัดและสง่างาม มักใช้ในงานที่ต้องการความขลัง, ยอพระเกียรติ, หรือบันทึกประวัติศาสตร์
จุดเด่นที่ต้องจำ (ลักษณะบังคับ):
- บังคับเสียงวรรณยุกต์ (เอก-โท): นี่คือหัวใจสำคัญของโคลง โดยจะมีการกำหนดตำแหน่งชัดเจนว่าตรงไหนต้องใช้ “คำเอก” (คำที่มีรูปวรรณยุกต์เอก หรือคำตาย) และ “คำโท” (คำที่มีรูปวรรณยุกต์โท)
- บังคับสัมผัส: มีการกำหนดสัมผัสระหว่างวรรคและระหว่างบทที่ชัดเจน
ประเภทที่พบบ่อย:
- โคลงสี่สุภาพ: เป็นโคลงที่ได้รับความนิยมสูงสุด 1 บท มี 4 บาท (บรรทัด) บังคับรูปวรรณยุกต์ เอก 7 โท 4 ตำแหน่ง
2. ฉันท์
ฉันท์ คืออะไร? ฉันท์ เป็นคำประพันธ์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ฉันทศาสตร์ในภาษาบาลีและสันสกฤต ถือเป็นร้อยกรองชั้นสูงที่แต่งได้ยากที่สุด เพราะมีข้อบังคับที่ซับซ้อน มักใช้ในงานวรรณคดีชั้นสูง, บทสวด, หรือการพรรณนาที่ต้องการอารมณ์สง่างามและจริงจัง
จุดเด่นที่ต้องจำ (ลักษณะบังคับ):
- บังคับ ครุ-ลหุ: นี่คือเอกลักษณ์เดียวของฉันท์
- คำครุ (เสียงหนัก): คือ พยางค์ที่ประสมสระเสียงยาว (เช่น ตา, ปี) หรือมีตัวสะกด (เช่น กิน, นก)
- คำลหุ (เสียงเบา): คือ พยางค์ที่ประสมสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกด (เช่น จะ, ติ, มะลิ)
- บังคับสัมผัส: มีการกำหนดสัมผัสตามฉันทลักษณ์ของฉันท์แต่ละประเภท
ประเภทที่พบบ่อย:
- อินทรวิเชียรฉันท์ 11: เป็นฉันท์ที่นิยมใช้ในการพรรณนาความงาม มีความไพเราะ
3. กาพย์
กาพย์ คืออะไร? กาพย์ เป็นคำประพันธ์ที่แต่งง่ายกว่าโคลงและฉันท์ ไม่มีการบังคับวรรณยุกต์หรือครุ-ลหุ หัวใจของกาพย์คือ “จังหวะ” และ “จำนวนคำ” ที่ค่อนข้างตายตัว ทำให้กาพย์เหมาะสำหรับการใช้เล่าเรื่อง, พรรณนาความ, หรือใช้ในบทสวดและคำสอนสำหรับเด็ก
จุดเด่นที่ต้องจำ (ลักษณะบังคับ):
- บังคับจำนวนคำในแต่ละวรรค: มีการกำหนดจำนวนคำในวรรคหน้าและวรรคหลังที่ชัดเจน
- บังคับสัมผัส: มีสัมผัสคล้องจองระหว่างวรรคที่ชัดเจนเพื่อสร้างจังหวะ
ประเภทที่พบบ่อย:
- กาพย์ยานี 11: ได้รับความนิยมสูงสุด 1 บท มี 2 บาท บาทแรกมี 11 คำ (วรรคหน้า 5 คำ, วรรคหลัง 6 คำ) เป็นที่จดจำจากบทอาขยานต่างๆ
- กาพย์ฉบัง 16: 1 บท มี 16 คำ (แบ่งเป็น 6 – 4 – 6)
- กาพย์สุรางคนางค์ 28: 1 บท มี 28 คำ (แบ่งเป็น 7 วรรค วรรคละ 4 คำ)
4. กลอน
กลอน คืออะไร? กลอน เป็นคำประพันธ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสังคมไทย มีความยืดหยุ่นสูง ไม่บังคับวรรณยุกต์หรือครุ-ลหุ แต่ให้ความสำคัญกับ “สัมผัสคล้องจอง” เป็นหลัก ทำให้กลอนมีความไพเราะ อ่านง่าย และสื่ออารมณ์ได้หลากหลายที่สุด ตั้งแต่ความรัก, ความเศร้า, ไปจนถึงนิทานและการแสดงความคิดเห็น
จุดเด่นที่ต้องจำ (ลักษณะบังคับ):
- บังคับสัมผัส (สัมผัสนอก): เป็นข้อบังคับหลักที่คำสุดท้ายของวรรคหน้าต้องส่งสัมผัสไปยังคำที่กำหนดในวรรคถัดไป
- ไม่บังคับวรรณยุกต์หรือครุ-ลหุ แต่มีการกำหนดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคเพื่อความไพเราะ (เช่น วรรคสดับห้ามใช้เสียงสามัญ)
ประเภทที่พบบ่อย:
- กลอนสุภาพ (กลอนแปด): เป็นกลอนที่นิยมที่สุด แต่ละวรรคมี 7-9 คำ (นิยม 8 คำ) เป็นรูปแบบที่สุนทรภู่ใช้ในการแต่งนิทานคำกลอน เช่น พระอภัยมณี
- กลอนสี่, กลอนหก, กลอนสักวา, กลอนบทละคร
