
การเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเบื้องต้นเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเพื่อการเรียน การทำงาน หรือการสื่อสารในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ควรรู้
1. Parts of Speech (ส่วนของคำ)
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเริ่มต้นจากการเข้าใจ Parts of Speech หรือส่วนของคำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ประเภทหลัก:
- Noun (คำนาม): ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือความคิด เช่น dog, book, happiness.
- Pronoun (คำสรรพนาม): ใช้แทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดซ้ำ เช่น he, she, it, they.
- Verb (คำกริยา): ใช้แสดงการกระทำหรือสถานะ เช่น run, eat, is, have.
- Adjective (คำคุณศัพท์): ใช้ขยายคำนามหรือสรรพนาม เพื่อบอกลักษณะหรือคุณสมบัติ เช่น big, beautiful, happy.
- Adverb (คำวิเศษณ์): ใช้ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์อื่นๆ เพื่อบอกลักษณะการกระทำ เช่น quickly, very, well.
- Preposition (คำบุพบท): ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำอื่นๆ ในประโยค เช่น in, on, at, with.
- Conjunction (คำสันธาน): ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยค เช่น and, but, because.
- Interjection (คำอุทาน): ใช้แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เช่น Wow!, Oh!, Oops!
2. Sentence Structure (โครงสร้างประโยค)
ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานประกอบด้วย Subject (ประธาน) + Verb (กริยา) + Object (กรรม) เช่น:
- I eat apples. (ฉันกินแอปเปิ้ล)
- She reads a book. (เธออ่านหนังสือ)
นอกจากนี้ ประโยคภาษาอังกฤษยังแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก:
- ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentence): ใช้เพื่อบอกเล่าข้อเท็จจริง เช่น “The sky is blue.”
- ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence): ใช้เพื่อถามคำถาม เช่น “What is your name?”
- ประโยคคำสั่ง (Imperative Sentence): ใช้เพื่อสั่งหรือขอร้อง เช่น “Please close the door.”
- ประโยคอุทาน (Exclamatory Sentence): ใช้เพื่อแสดงอารมณ์ เช่น “What a beautiful day!”
3. Tenses (กาล)
Tenses เป็นหัวใจสำคัญของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ใช้เพื่อบอกเวลาในการเกิดเหตุการณ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลาหลัก:
- Present Tense (ปัจจุบัน)
- Present Simple: ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำหรือความจริงทั่วไป เช่น “I play football every day.”
- Present Continuous: ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น “She is reading a book.”
- Past Tense (อดีต)
- Past Simple: ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในอดีต เช่น “I visited my grandma yesterday.”
- Past Continuous: ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น “They were playing soccer at 5 PM.”
- Future Tense (อนาคต)
- Future Simple: ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “I will go to the park tomorrow.”
- Future Continuous: ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “She will be studying at 8 PM.”
4. Articles (คำนำหน้านาม)
คำนำหน้านามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภท:
- Definite Article (the): ใช้กับคำนามที่เฉพาะเจาะจงหรือรู้กันดีแล้ว เช่น “The sun is bright.”
- Indefinite Article (a, an): ใช้กับคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น “I saw a dog.” (ใช้ “a” นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ และ “an” นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ)
5. Common Grammar Mistakes (ข้อผิดพลาดไวยากรณ์ที่พบบ่อย)
- การใช้ Verb to be: หลายคนมักลืมใช้ Verb to be (is, am, are) ในประโยค เช่น “She happy.” ควรแก้เป็น “She is happy.”
- การเรียงลำดับคำ: การเรียงลำดับคำผิดอาจทำให้ประโยคสับสน เช่น “I yesterday went to school.” ควรแก้เป็น “I went to school yesterday.”
- การใช้ Articles: บางครั้งลืมใช้ a, an, the เช่น “I saw dog.” ควรแก้เป็น “I saw a dog.”
ใส่ความเห็น